วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554
หอบวงสรวงสวรรค์
"หอเทียนถาน" หรือ "หอบวงสรวงสวรรค์" ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงปักกิ่งนั้น เริ่มสร้างเมื่อปีค.ศ.1420เป็นสถานที่ประกอบพิธีสักการบูชาฟ้าและดินของ กษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) และชิง (ค.ศ.1644-1911) ของจีนซึ่งเป็นพระราชพิธีที่กระทำขึ้นเพื่อบวงสรวงฟ้าขอฝนให้พืชผลใน ไร่นาอุดมสมบูรณ์และ พสกนิกรอยู่ร่มเย็นเป็นสุขนั่นเอง บนพื้นที่กว่า 2.7 ล้านตารางเมตรของเทียนถาน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า "กู้กง" หรือ "พระราชวังโบราณ" ถึง 4 เท่านั้น
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่
(จัดทำโดย นางสาว ปิยาภรณ์ ดีสม เลขที่ 34)
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่
(จัดทำโดย นางสาว ปิยาภรณ์ ดีสม เลขที่ 34)
โบราณสถานศักดิ์สิทธิ์
เส้นทางนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ภูเขาคิอิ (Kii) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 3 แห่ง และเส้นทางที่เชื่อมต่อกันโดยภูเขาแห่งศรัทธาในพุทธศาสนา วาคายาม่า, นารา และ มิเอะ (Wakayama, Nara,Mie) โยชิโน และโอมิเนะ (Yoshino and Omine) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของภูเขาคิอิ (Kii) พัฒนามาจากสักการะสถานสำหรับ ชูเก็นโด (Shugendo) ศาสนาที่มีความรุ่งเรืองขึ้นเมื่อรวมกับความนับถือดั้งเดิมของชนภูเขาของญี่ปุ่น พุทธศาสานานิกานเซน และลัทธิเต๋า เมื่อประมาณศตวรรษที่ 12 ยึดหลักการแยกตัวสันโดษตามป่าเขา และปลีกวิเวก โยชิโน (Yoshino) มีชื่อเสียงมากในเรื่องของการเป็นหุบเขาแห่งซากุระ ดอกไม้ที่สวยงาม ท่านเจ้าเมืองโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ได้ให้จัดงานชุมชนุมเพื่อชื่นชมความงามของดอกซากุระขึ้นที่วัดคินปุเซ็น-จิ ในปีค.ศ. 1594 ซึ่งเป็นวัดศูนย์กลางของชูเก็นโด (Shugendo) การชุมนุมครั้งใหญ่จะมีขึ้นเพื่อให้ชาวบ้านได้สารภาพบาป และชมดอกซากุระ ในเดือนเมษายนของทุกปี คุมาโนะ ซานจัง (Kumano Sanzan) คือชื่อเรียก ศาลเจ้า 3 แห่งที่ตั้งอยู่ทางใต้ของภูเขาคิอิ (Kii) ได้แก่ คุมาโนะ นาชิ ตาอิชา (Kumano Nachi Taisha), คุมาโนะ ฮายาตามะ ตาอิชา (Kumano Hayatama Taisha) และ คุมาโนะ ฮอนกุ ตาอิชา (Kumano Hongu Taisha) ใช้เวลาแค่ตอนบ่ายก็สามารถไปเยือนศาลเจ้าทั้ง 3 แห่ง ได้โดยรถยนต์ แต่ถ้าหากมีเวลา และต้องการสัมผัสความงามของสถานที่อย่างเต็มที่ ควรพักค้างแรมที่บ่อน้ำพุร้อนคาทสุอุระ (Katsuura) หรือบ่อน้ำพุร้อนฮอนกุ (Hongu) และชมน้ำตกนาชิ (Nashi) ที่มีความกว้าง 13 เมตร และสูงถึง 133 เมตร เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นน้ำตกสูงที่สุดในญี่ปุ่น เชื่อว่าถ้าได้สัมผัสกับสายน้ำจากน้ำตกแล้วจะทำให้อายุยืนยาว โคยาซาน (Koyasan) คือเมืองแห่งศาสนาบนยอดภูเขา มีวัดตั้งอยู่มากกว่า 100 แห่ง ที่มีชื่อเสียง มากที่สุดคือ วัดคนโกบุ-จิ (Kongobu-ji) สร้างโดยพระนักบวชชื่อ คุคาอิ (Kukai) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอน ศาสนาชินกอน (Shingon)ในปี ค.ศ. 816 ภายในห้องจะมีภาพเขียนผนังสวยงาม และมีห้องที่หลานชายของท่านเจ้าเมืองโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ฮิเดทสุกุ (Hidetsugu) ได้กระทำฮารา-คิรี (Hara-kiri) ปลิดชีพตนเองเมื่อหนีมาจนมุมต่อท่านเจ้าเมืองโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) โคยาซาน (Koyasan) เป็นที่รู้จักสำหรับการเป็นสถานที่พักค้างแรม ที่ทำให้ได้สัมผัสวัฒนธรรมของญี่ปุ่นจากประสบการณ์ของแหล่งวัฒนธรรมดั้งเดิม จำลองการความเป็นอยู่ รวมไปถึงอาหารมังสวิรัติเช่นเดียวกับนักบวชในพุทธศาสนา จึงทำให้มีโด่งดังมากในหมู่นักท่องเที่ยว เส้นทางสำหรับการเดินทางนมัสการ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 แห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางสาย มรดกโลก (Santiago e Compostela) ซึ่งประกอบด้วยถนน 5 สายหลัก คือ นาคาเฮชิ (Nakahechi), โคเฮชิ (Kohechi), โอโอมิเนะโอคุ-กาเคมิชิ (Oomineoku-gakemichi), อิเซจิ (Iseji) และโคยาซานโช-อิชิมิชิ (Koyasancho-ishimichi) ซึ่งอิเซจิ (Iseji) และโคยาซานโช-อิชิมิชิ (Koyasancho-ishimichi) ไม่ได้อยู่ในการขึ้นทะเบียนเป็นเส้นทางมรดกโลก แม้ว่าเส้นทางจะยากลำบาก และเต็มไปด้วยภูเขาสูง แต่ก็เป็นการดีที่จะได้เดินทางเพื่อเปิดโอกาสให้พบเห็น ชื่นชมประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่งท่ามกลางภูมิประเทศที่ธรรมชาติยังคงความสมบูรณ์
เอกสารอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. ",โบราณสถานโบราณสถานศักดิ์สิทธิ์". 29 สิงหาคม 2554. <http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C&action=edit§ion=6 > 29 สิงหาคม 2554.
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. ",โบราณสถานโบราณสถานศักดิ์สิทธิ์". 29 สิงหาคม 2554. <http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C&action=edit§ion=6 > 29 สิงหาคม 2554.
(จัดทำโดย นาย รัฐพล กาญจนสาร เลขที่ 10)
โบราณสถานกุสุคุ บนเกาะโอกินาวะ
กุสุคุ (Gusuku) และสถานที่อันเกี่ยวข้องกับอาณาจักรริวกิว (Ryukyu) โบราณสถานแห่งเกาะโอกินาวา (Okinawa) ที่แสดงความรุ่งเรืองของคาบสมุทรญี่ปุ่น จีน และเกาหลี ในอดีตที่ผ่านมา โอกินาว่า (Okinawa) หลักฐานมรดกทางวัฒนธรรมที่ปรากฏกระจัดกระจายอยู่ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น โดยเฉพาะที่เกาะโอกินาวา (Okinawa) ซึ่งมีโบราณสถาน 9 แห่ง ที่บ่งบอกถึงสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม และความเชื่อทางศาสนาของ อาณาจักรริวกิว (Ryukyu) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ที่นี่ ที่โอกินาว่า (Okinawa) พร้อมกับการปกครองในระบอบเผด็จการเริ่มต้นขึ้นในหลายๆ พื้นที่ในศตวรรษที่ 12 มีการสร้างปราสาทในลักษณะที่เรียกว่า "กุสุคุ" (Gusuku) ขึ้น อย่างไรก็ตามปราสาทที่สร้างขึ้นนี้ไม่ได้มีลักษณะ เหมือนกับ ปราสาทฮิเมจิ-โจ (Himeji-jo) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่กลับมีลักษณะเหมือนป้อมปราการขนาดเล็กมากกว่า กุสุคุ (Gusuku) ใช้เป็นสักการะสถาน ประกอบพิธีทางศาสนาตามความเชื่อแบบท้องถิ่น เมื่อถึงศตวรรษที่ 14 ดินแดนต่างๆ ได้รวมตัวกันเป็น อาณาจักรริวกิว (Ryukyu) และเกิดความมั่นคงเป็นปึกแผ่นในปี ค.ศ. 1429 สัญลักษณ์ของอาณาจักร ก็คือปราสาทชูริโจ (Shuri-jo) ก็เป็นสถาปัตยกรรมตามแบบ กุสุคุ (Gusuku) ปราสาทชูริโจ (Shuri-jo) สร้างบนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล สามารถมองเห็นเมืองนาฮาได้จากจุดนี้ ตัวปราสาทถูกสร้างขึ้นจากหินโดยรอบ สูง 10 เมตร มีความยาวจากทิศเหนือจดทิศใต้ 270 เมตร และจากทิศตะวันออกจดทิศตะวันตก 400 เมตร ปราสาทชูริโจ (Shuri-jo) ถูกทำลายจนเสียหายในสมัย สงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1992 เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับการถ่ายทำ ละคร และภาพยนตร์ และได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทางด้านทิศตะวันออกของปราสาทชูริโจ (Shuri-jo) มีสุสานของราชวงศ์แห่งอาณาจักรริวกิว (Ryukyu) ซึ่งสร้างหินธรรมชาติขนาดใหญ่ ภายในสุสานมีทางเท้าที่นำหินปะการังมาปูเป็นทางไว้ และที่ศูนย์กลางของ สุสาน รวมทั้งด้านทิศตะวันออก และทิศตะวันตกจะมีรูปปั้นสิงโต เรียกว่า "ชิซา" (Shisa) ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าผู้ปัดเป่าความชั่วร้าย
เอกสารอ้างอิง
บ้านจอมยุทธ. "โบราณวัตถุ," โบราณสถานกุสุคุ บนเกาะโอกินาวะ. 29 สิงหาคม 2554.
< http://www.baanjomyut.com/library/china/29.html > 29 สิงหาคม 2554.
(จัดทำโดย นางสาว วรพร เหล่าจินดา เลขที่ 27)
บ้านจอมยุทธ. "โบราณวัตถุ," โบราณสถานกุสุคุ บนเกาะโอกินาวะ. 29 สิงหาคม 2554.
< http://www.baanjomyut.com/library/china/29.html > 29 สิงหาคม 2554.
(จัดทำโดย นางสาว วรพร เหล่าจินดา เลขที่ 27)
โบราณสถานเมืองไคเฟิง
เมืองไคเฟิงตั้งอยู่ภาคตะวันออกของมณฑลเหอหนาน เป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมและการค้าทางวัฒนธรรมและการการศึกษาที่สำคัญ อุตสาหกรรมที่เด่นๆ มีได้แก่อุตสาหกรรมเคมีอุตสาหกรรมเครื่องจักรอุตสาหกรรมสิ่งทอและอุตสาหกรรมเบา ในสมัยโบราณเมืองไคเฟิงมีชื่อว่า เปี้ยนเหลียง เป็นเมืองหลวงโบราณ 1 ใน 7 ของจีน จากการ ค้นคว้าพบว่าในสมัยยุคหินใหม่ บริเวณเมืองไคเฟิง ก็เริ่มมีมนุษย์อาศัยอยู่แล้ว ราชวงศ์เหลียงยุคหลัง จิ้นยุคหลัง ฮั่นยุคหลังและโจวยุคหลังต่างก็ตั้งเมืองหลวงที่เมืองไคเฟิง เมื่อปี ค.ศ. 960 หลังจากราชวงศ์ซ่งเหนือได้สถาปนาขึ้นแล้วก็ตั้งเมืองหลวงที่เมืองไคเฟิงด้วย ซึ่งเรียกว่าเมืองหลวงตะวันออก เวลานั้นเมืองไคเฟิงมีประชากรทั้งหมด 1.5 ล้านคน นอกจากจะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมภายในประเทศแล้ว ยังเป็นนครสากลที่ “ติดต่อสัมพันธ์กับนานาชาติ”
ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ไคเฟิงเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อด้วยมีทรัพยากรที่ล้ำค่าและมีอัจฉริยะบุคคลการพัฒนาทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมไม่เพียงแต่มีอิทธิพลต่อที่ราบภาคกลางเท่านั้น ยังส่งผลกระทบไปทั่วประเทศด้วย เมืองไคเฟิงมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น ไช่ยง ไช่เหวินจี ชุยเฮ่าเป็นต้น เนื่องจากประวัติศาสตร์อันยาวนานและรุ่งโรจน์ ได้ทิ้งทรัพยากรแห่งท่องเที่ยวมากมายให้แก่เมืองไคเฟิง โดยหมู่สิ่งก่อสร้างโบราณในเมืองนี้มีลักษณะที่หลากหลายและโดดเด่น นอกจากนี้ มีโบราณสถานชื่อดังมากมาย เช่น วัดต้าเซี่ยงกว๋าซื่อ ศาลเจ้าเปาบุ้นจิ้น ศาลเจ้าเย่ว์เฟย ( งักฮุย ) แห่งเมืองจูเซียนเจิ้น เป็นต้น
ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ไคเฟิงเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อด้วยมีทรัพยากรที่ล้ำค่าและมีอัจฉริยะบุคคลการพัฒนาทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมไม่เพียงแต่มีอิทธิพลต่อที่ราบภาคกลางเท่านั้น ยังส่งผลกระทบไปทั่วประเทศด้วย เมืองไคเฟิงมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น ไช่ยง ไช่เหวินจี ชุยเฮ่าเป็นต้น เนื่องจากประวัติศาสตร์อันยาวนานและรุ่งโรจน์ ได้ทิ้งทรัพยากรแห่งท่องเที่ยวมากมายให้แก่เมืองไคเฟิง โดยหมู่สิ่งก่อสร้างโบราณในเมืองนี้มีลักษณะที่หลากหลายและโดดเด่น นอกจากนี้ มีโบราณสถานชื่อดังมากมาย เช่น วัดต้าเซี่ยงกว๋าซื่อ ศาลเจ้าเปาบุ้นจิ้น ศาลเจ้าเย่ว์เฟย ( งักฮุย ) แห่งเมืองจูเซียนเจิ้น เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
บ้านจอมยุทธ. "โบราณวัตถุ," โบราณสถานเมืองไคเฟิง. 29 สิงหาคม 2554.< http://www.baanjomyut.com/library/china/29.html > 29 สิงหาคม 2554.
(จัดทำโดย นาย อัฐสิทธิ์ เข็มเพชร เลขที่24)
มังกรหยกแกะสลักยุค
"ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีวิธีปฏิบัติที่เรียกว่า “การสละราชบัลลังก์” ซึ่งยุคนี้ผู้คนยังมีความเท่าเทียมกัน ทรัพย์สินทั้งหมดถือเป็นของส่วนกลาง ดังนั้นจึงไม่มีการแย่งชิงและโจรผู้ร้าย นักโบราณคดีเรียกสังคมในยุคนี้ว่า ‘สังคมเอกภาพ’"
ผู้คนจากประเทศต่าง ๆทั่วโลกต่างก็มีวิถีในการอธิบายถึงที่มาของฟ้าดินและมนุษย์ที่แตกต่างกัน ประเทศจีนก็มีเรื่องราวตำนานของผานกู่เบิกฟ้าแยกดินและเทพหนี่อัวสร้างมนุษย์ที่เล่าขานกันต่อมา ทว่า ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ในยุคต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความก้าวหน้าทางโบราณคดีและมนุษย์โบราณ รวมถึงทางธรณีวิทยา ได้เปิดเผยความลับต้นกำเนิดของแผ่นดิน และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในโลกมนุษย์ ปัจจุบันนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีและมนุษย์โบราณได้ขุดพบซากฟอสซิลของมนุษย์ ซึ่งมีอายุกว่า 3,000,000 ปีในทวีปอาฟริกา ดังนั้น จึงเชื่อถือกันว่าทวีปอัฟริกาเป็นสถานที่ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
สำหรับในประเทศจีนนั้น ที่อำเภออูซานในมณฑลฉงชิ่งก็ได้มีการขุดพบซากฟอสซิลโบราณของ ‘มนุษย์อูซาน’ที่มีอายุกว่า 2,000,000 ปี นอกจากนี้ ยังพบซากฟอสซิลมนุษย์โบราณจำนวนมากในบริเวณกว้างอาทิ มนุษย์หยวนเหมย มนุษย์หลันเถียน มนุษย์ปักกิ่ง และ มนุษย์ถ้ำ เป็นต้น ดังนั้น นักโบราณคดีจีนจึงได้เสนอว่า พื้นที่ในแถบเอเชียอาคเนย์ ก็เป็นแหล่งต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน
การปรากฏตัวขึ้นของมนุษย์ถือเป็นผลจากการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง ซึ่งได้พัฒนาตัวเองจากเผ่าพันธุ์ของวานร จากการศึกษาและค้นคว้าของนักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับมนุษย์โบราณในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า เผ่าพันธุ์วานรในยุคโบราณและมนุษย์ในยุคแรกเริ่มมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ซึ่งแนวคิดเรื่อง ‘จากวานรสู่มนุษย์’นี้ ก็ได้มีหลักฐานยืนยันมากขึ้น
ที่มาของวิวัฒนาการมนุษย์มีส่วนสัมพันธ์กันอย่างมากกับการใช้แรงงาน เนื่องจากเครื่องมือเครื่องใช้ที่มนุษย์ยุคแรกทำขึ้นเองนั้นได้แก่เครื่องมือหินกระเทาะ ซึ่งนักโบราณคดีได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างเครื่องมือหินในยุคหลังที่เป็นเครื่องมือที่เกิดจากการฝนหรือลับ ดังนั้นพวกเขาจึงแบ่งยุคของการใช้เครื่องมือหินที่เกิดจากการกะเทาะนี้ว่า ยุคหินเก่า ส่วนช่วงเวลาที่มีการใช้วิธีการฝนหินในการสร้างเครื่องมือหิน เรียกว่า ยุคหินใหม่
ผู้คนจากประเทศต่าง ๆทั่วโลกต่างก็มีวิถีในการอธิบายถึงที่มาของฟ้าดินและมนุษย์ที่แตกต่างกัน ประเทศจีนก็มีเรื่องราวตำนานของผานกู่เบิกฟ้าแยกดินและเทพหนี่อัวสร้างมนุษย์ที่เล่าขานกันต่อมา ทว่า ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ในยุคต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความก้าวหน้าทางโบราณคดีและมนุษย์โบราณ รวมถึงทางธรณีวิทยา ได้เปิดเผยความลับต้นกำเนิดของแผ่นดิน และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในโลกมนุษย์ ปัจจุบันนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีและมนุษย์โบราณได้ขุดพบซากฟอสซิลของมนุษย์ ซึ่งมีอายุกว่า 3,000,000 ปีในทวีปอาฟริกา ดังนั้น จึงเชื่อถือกันว่าทวีปอัฟริกาเป็นสถานที่ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
สำหรับในประเทศจีนนั้น ที่อำเภออูซานในมณฑลฉงชิ่งก็ได้มีการขุดพบซากฟอสซิลโบราณของ ‘มนุษย์อูซาน’ที่มีอายุกว่า 2,000,000 ปี นอกจากนี้ ยังพบซากฟอสซิลมนุษย์โบราณจำนวนมากในบริเวณกว้างอาทิ มนุษย์หยวนเหมย มนุษย์หลันเถียน มนุษย์ปักกิ่ง และ มนุษย์ถ้ำ เป็นต้น ดังนั้น นักโบราณคดีจีนจึงได้เสนอว่า พื้นที่ในแถบเอเชียอาคเนย์ ก็เป็นแหล่งต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน
การปรากฏตัวขึ้นของมนุษย์ถือเป็นผลจากการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง ซึ่งได้พัฒนาตัวเองจากเผ่าพันธุ์ของวานร จากการศึกษาและค้นคว้าของนักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับมนุษย์โบราณในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า เผ่าพันธุ์วานรในยุคโบราณและมนุษย์ในยุคแรกเริ่มมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ซึ่งแนวคิดเรื่อง ‘จากวานรสู่มนุษย์’นี้ ก็ได้มีหลักฐานยืนยันมากขึ้น
ที่มาของวิวัฒนาการมนุษย์มีส่วนสัมพันธ์กันอย่างมากกับการใช้แรงงาน เนื่องจากเครื่องมือเครื่องใช้ที่มนุษย์ยุคแรกทำขึ้นเองนั้นได้แก่เครื่องมือหินกระเทาะ ซึ่งนักโบราณคดีได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างเครื่องมือหินในยุคหลังที่เป็นเครื่องมือที่เกิดจากการฝนหรือลับ ดังนั้นพวกเขาจึงแบ่งยุคของการใช้เครื่องมือหินที่เกิดจากการกะเทาะนี้ว่า ยุคหินเก่า ส่วนช่วงเวลาที่มีการใช้วิธีการฝนหินในการสร้างเครื่องมือหิน เรียกว่า ยุคหินใหม่
อ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. "โบราณวัตถุ,"มังกรหยกแกะสลักยุค. 29 สิงหาคม 2554. <http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B2 > 29 สิงหาคม 2554.(จัดทำโดย นาย อัฐสิทธิ์ เข็มเพชร เลขที่ 24)
ตุ๊กตาทหารดินเผา
ตุ๊กตาทหารดินเผาทุกตัวจะมีตราประทับอักษรบนตัวมากกว่า 80 ชื่อ ทำให้นักโบราณคดีจีนมั่นใจว่าผู้ที่สร้างหุ่นทหารดินเผาทั้งหมด เป็นบรรดาช่างปั้นหม้อ ในสังคมสมัยฉิน ถือว่าพวกนี้เป็นพวกชั้นต่ำ บางพวกเคยทำงานรับใช้ในราชสำนัก ช่างปั้นดินเผาในสมัยจีนโบราณที่สืบทอดวิชาความรู้จากครูหรือบรรพบุรุษ มีเอกลักษณ์งานปั้นเฉพาะตัว รับคำสั่งเกณฑ์พลจากทุกแห่งเพื่อสร้างกองทัพทหารดินเผา
ผู้ที่จัดวางตำแหน่งของกองทัพทหารดินเผาภายในสุสาน ได้วางตำแหน่งอย่างเป็นระเบียบ ทหารดินเผาทุกตัวอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ประกอบไปด้วยทหารดาบ ทหารเกาทัณฑ์ ทหารหอก และรถม้าศึก โดยเลือกชัยภูมิจัดผังออกแบบค่ายเป็นรูปสี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยกำแพงดินพูนสูงขึ้น และมีคูอยู่นอกกำแพงเมือง ถนนตัดอยู่ภายในเป็นทางเดินกองทหาร ตัดจากทิศเหนือไปถึงทิศใต้และตะวันออกไปตะวันตก มีด่านกันไฟเป็นระยะ ๆ ตรงกลางค่ายเป็นที่ตั้งกองบัญชาการ ล้อมด้วยเหล่าเสนาบดี ที่ปรึกษา หน่วยทหารที่เป็นหน่วยกล้าตายและองค์รักษ์ ทำหน้าที่คุ้มกันฉินสื่อหวง การจัดวางกองทัพทหารดินเผาเป็นการยืนยันถึงภาพที่ชัดเจนของตำราพิชัยสงครามซุนวู
ทหารดินเผาที่ขุดพบได้นั้นมีลักษณะใบหน้าที่มองดูแล้วกลมเกือบคล้ายกัน บางหน้าเป็นรูปไข่ บางหน้าเป็นรูปเหลี่ยม ซึ่งแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเทคนิคของช่างแต่ละคน มีการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน เช่นแผนกช่างนวดดิน ช่างปั้น ช่างทำพิมพ์ สำหรับอวัยวะต่าง ๆ เช่น มือ แขน ขา ศีรษะ เป็นหน้าที่ของช่างขึ้นรูป ที่ทำการปั้นขึ้นรูปศีรษะเป็นรูป ๆ ทำให้ใบหน้าแต่ละหน้าจึงไม่ซ้ำกัน ซึ่งอาจจะเป็นการจำลองจากบุคลิกของทหารจริงในเวลานั้น
ส่วนมากใบหน้าของกองทัพทหารดินเผามีสัณฐานสี่เหลี่ยม ริมฝีปากหนา ไว้หนวดเคราทรงผมนานาชนิด แล้วเอาส่วนต่าง ๆ มาประกอบเข้ากัน นำไปเผาไฟแล้วส่งต่อไปให้ช่างสีซึ่งใช้ฝุ่นสีฉูดฉาดเช่น สีแดง เขียว ฟ้า น้ำตาล เหลือง ดำ ม่วง น้ำเงิน ขาว มาระบายลงบนตัวทหารดินเผา แยกสีตามเหล่าทหารแต่ละกอง สำหรับการปั้นม้าจะแยกชิ้นส่วนต่าง ๆ ตามลักษณะของม้า ก่อนนำมาประกอบเข้าเป็นลำตัวที่กลวง ส่วนอื่นจะทึบตันหมด แล้วจึงเข้าเตาเผาไฟที่มีความร้อนสูงระหว่าง 950 ถึง 1,050 องศา เทคนิคงานปั้นดินเผาของจีนเริ่มมานานกว่า 2,000 ปี จนถึงปัจจุบันวิธีเก่าแก่นี้ก็ยังคงใช้อยู่ทั่วโลก
กองทัพทหารดินเผาทุกตัวเคยถืออาวุธจริงแต่ได้โดนยึดไปโดยพวกกบฏเป็นจำนวนมาก คงหลงเหลือกว่า 10,000 ชิ้น อาวุธส่วนมากสร้างขึ้นจากโลหะผสมทองแดงและดีบุกรวมทั้งนิกเกิลและสังกะสีฝีมือประณีตโดยเฉพาะหัวลูกธนจะผสมตะกั่วเท่ากับเป็นการอาบยาพิษอย่างแรง แต่ทั้งหมดได้รับการปลดออกมาเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางทหาร และเทคโนโลยี
จากการขุดค้นพบกองทัพทหารดินเผาและม้าศึกจำนวนกว่า 6,000 ตัว คาดว่าเมื่อรวมกับจำนวนของทหารดินเผาที่ยังไม่ได้ขุดค้น อาจมีประติมากรรมอันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมากถึง 8,000 ตัว กองทัพทหารดินเผาที่ขุดค้นพบทั้ง 3 หลุมนี้ ในแต่ละหลุมจะแยกจากกันอย่างมีแบบแผน มีการฝังลึกลงไปจากผิวดินในระยะทางประมาณ 5 เมตร มีแนวกำแพงดินพูนสูงราว 3 เมตร แยกจากกันเป็นช่วง ๆ ค้ำยันด้วยท่อนซุง โดยรายละเอียดต่าง ๆ ของกองทัพทหารดินเผา
ผู้ที่จัดวางตำแหน่งของกองทัพทหารดินเผาภายในสุสาน ได้วางตำแหน่งอย่างเป็นระเบียบ ทหารดินเผาทุกตัวอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ประกอบไปด้วยทหารดาบ ทหารเกาทัณฑ์ ทหารหอก และรถม้าศึก โดยเลือกชัยภูมิจัดผังออกแบบค่ายเป็นรูปสี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยกำแพงดินพูนสูงขึ้น และมีคูอยู่นอกกำแพงเมือง ถนนตัดอยู่ภายในเป็นทางเดินกองทหาร ตัดจากทิศเหนือไปถึงทิศใต้และตะวันออกไปตะวันตก มีด่านกันไฟเป็นระยะ ๆ ตรงกลางค่ายเป็นที่ตั้งกองบัญชาการ ล้อมด้วยเหล่าเสนาบดี ที่ปรึกษา หน่วยทหารที่เป็นหน่วยกล้าตายและองค์รักษ์ ทำหน้าที่คุ้มกันฉินสื่อหวง การจัดวางกองทัพทหารดินเผาเป็นการยืนยันถึงภาพที่ชัดเจนของตำราพิชัยสงครามซุนวู
ทหารดินเผาที่ขุดพบได้นั้นมีลักษณะใบหน้าที่มองดูแล้วกลมเกือบคล้ายกัน บางหน้าเป็นรูปไข่ บางหน้าเป็นรูปเหลี่ยม ซึ่งแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเทคนิคของช่างแต่ละคน มีการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน เช่นแผนกช่างนวดดิน ช่างปั้น ช่างทำพิมพ์ สำหรับอวัยวะต่าง ๆ เช่น มือ แขน ขา ศีรษะ เป็นหน้าที่ของช่างขึ้นรูป ที่ทำการปั้นขึ้นรูปศีรษะเป็นรูป ๆ ทำให้ใบหน้าแต่ละหน้าจึงไม่ซ้ำกัน ซึ่งอาจจะเป็นการจำลองจากบุคลิกของทหารจริงในเวลานั้น
ส่วนมากใบหน้าของกองทัพทหารดินเผามีสัณฐานสี่เหลี่ยม ริมฝีปากหนา ไว้หนวดเคราทรงผมนานาชนิด แล้วเอาส่วนต่าง ๆ มาประกอบเข้ากัน นำไปเผาไฟแล้วส่งต่อไปให้ช่างสีซึ่งใช้ฝุ่นสีฉูดฉาดเช่น สีแดง เขียว ฟ้า น้ำตาล เหลือง ดำ ม่วง น้ำเงิน ขาว มาระบายลงบนตัวทหารดินเผา แยกสีตามเหล่าทหารแต่ละกอง สำหรับการปั้นม้าจะแยกชิ้นส่วนต่าง ๆ ตามลักษณะของม้า ก่อนนำมาประกอบเข้าเป็นลำตัวที่กลวง ส่วนอื่นจะทึบตันหมด แล้วจึงเข้าเตาเผาไฟที่มีความร้อนสูงระหว่าง 950 ถึง 1,050 องศา เทคนิคงานปั้นดินเผาของจีนเริ่มมานานกว่า 2,000 ปี จนถึงปัจจุบันวิธีเก่าแก่นี้ก็ยังคงใช้อยู่ทั่วโลก
กองทัพทหารดินเผาทุกตัวเคยถืออาวุธจริงแต่ได้โดนยึดไปโดยพวกกบฏเป็นจำนวนมาก คงหลงเหลือกว่า 10,000 ชิ้น อาวุธส่วนมากสร้างขึ้นจากโลหะผสมทองแดงและดีบุกรวมทั้งนิกเกิลและสังกะสีฝีมือประณีตโดยเฉพาะหัวลูกธนจะผสมตะกั่วเท่ากับเป็นการอาบยาพิษอย่างแรง แต่ทั้งหมดได้รับการปลดออกมาเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางทหาร และเทคโนโลยี
จากการขุดค้นพบกองทัพทหารดินเผาและม้าศึกจำนวนกว่า 6,000 ตัว คาดว่าเมื่อรวมกับจำนวนของทหารดินเผาที่ยังไม่ได้ขุดค้น อาจมีประติมากรรมอันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมากถึง 8,000 ตัว กองทัพทหารดินเผาที่ขุดค้นพบทั้ง 3 หลุมนี้ ในแต่ละหลุมจะแยกจากกันอย่างมีแบบแผน มีการฝังลึกลงไปจากผิวดินในระยะทางประมาณ 5 เมตร มีแนวกำแพงดินพูนสูงราว 3 เมตร แยกจากกันเป็นช่วง ๆ ค้ำยันด้วยท่อนซุง โดยรายละเอียดต่าง ๆ ของกองทัพทหารดินเผา
อ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. "โบราณวัตถุ,"ขบวนรถม้าสำริด. 29 สิงหาคม 2554. <http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%89%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_1&action=edit§ion=9> 29 สิงหาคม 2554.
(จัดทำโดย นาย รัฐพล กาญจนสาร เลขที่ 10)
สฟิงซ์ของกรีก
สฟิงซ์ของกรีกเป็นหนึ่งในลูก ๆ ของอีคิดนาและไทฟอน สฟิงซ์มีใบหน้าและทรวงอกของหญิงสาว ท่อนล่างเป็นสิงโตและมีปีกแบบนกอินทรี มีลักษณะนิสัยชอบทรยศหักหลัง ก้าวร้าวรุนแรง และกระหายเลือด และพวกนี้ยังชอบกินคนเป็นอาหารด้วย
ลักษณะที่เด่นชัดของสฟิงซ์ กรีกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความคล้ายแมว หรือจะว่าอีกทีก็คล้ายผู้หญิงด้วย นั่นคือ มันจะพูด คุยหยอกเหยื่อของมันก่อนที่จะกินเข้าไป แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเกิดเหยื่อหนีรอดไปได้ สฟิงซ์จะบินดิ่งทิ้งตัวกระแทกพื้นหรืออะไรสักอย่าง ด้วยความโกรธเกรี้ยวจนตายไปเอง
เรื่องราวเกี่ยวกับสฟิงซ์ของกรีก ที่โด่งดังเรื่องหนึ่งคือ เรื่องของ เจ้าแม่เฮรา (Hera) ซึ่งมอบหมายหน้าที่ลงโทษชาวเมืองธีบีส (Thebes) เพราะความเมามายไร้สติของพวกเขา หลังจากที่ ไดโอนิซุส เทพแห่งเมรัยได้มาสอนการทำไวน์ ให้แก่ชาวเมืองนี้ ตามปกติสฟิงซ์จะไม่เข้าขย้ำเหยื่อ ที่ผ่านมาในทันทีทันใด แต่จะให้โอกาสเหยื่อด้วยการถามปัญหา ที่เรียกกันว่าปัญหาของตัวสฟิงซ์ (The Riddle of the Sphinx) ซึ่งสัญญาจะปล่อยเหยื่อเป็นอิสระ หากตอบปัญหาของนางได้ ตามท้องเรื่องที่จะกล่าวถึง เอดิปุส (Oedipus) แห่งโครินท์ผ่านมาในเมืองธีบีสพอดิบพอดี สฟิงซ์กระโดดออกมา จากหลังพุ่มไม้ แลบลิ้นเลียปากด้วยความอยากกินเนื้อ ก่อนจะส่งเสียงคำรามให้ขวัญหาย เข้าใส่เอดิปุสและถามปัญหา "อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า เดินสอง ตีน ในยามสาย และเดินสามตีนในยามเย็น….? "อ๋อ มันก็คือมนุษย์นั่นแล ย่อมเดินด้วยการคลานทั้งมือและเข่า เมื่อยังเป็นเด็ก ยืนด้วยขาสอง ข้าง เมื่อโตเต็มที่ และต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเอง เป็นขาที่สามในยามสายัณห์ของชีวิต" เอดิปุสตอบอย่างไม่ลังเล สฟิงซ์เมื่อได้ฟังคำตอบ ที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากมนุษย์หน้าไหนเลย ถึงกับกรีดร้องด้วยความเจ็บใจ นางโผบินขึ้น บนฟ้า แล้วทิ้งตัวดิ่งลงฆ่าตัวตายในทะเล
อ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. "โบราณวัตถุ,"สฟิงซ์ของกรีก. 29 สิงหาคม 2554. <http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B2 > 29 สิงหาคม 2554.
(จัดทำโดย นางสาว ปิยาภรณ์ ดีสม เลขที่34)
(จัดทำโดย นางสาว ปิยาภรณ์ ดีสม เลขที่34)
วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์
พระอวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์องค์สำคัญของพระพุทธศาสนามหายาน ที่มีผู้เคารพศรัทธามากที่สุด และเป็นเสมือนปุคคลาธิษฐานแห่งมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้าทั้งปวง เรื่องราวของพระอวโลกิเตศวรปรากฏอยู่ทั่วไปในคัมภีร์สันสกฤตของมหายาน อาทิ ปฺรชฺญาปารมิตาสูตฺร, สทฺธรฺมปุณฑรีกสูตฺร และการณฺฑวยูหสูตฺร
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่
(จัดทำโดย นางสาว วรพร เหล่าจินดา เลขที่ 27)
วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554
ขบวนรถม้าสำริด
รัฐบาลจีนยังขุดพบโลงไม้ ยาว 7 เมตร กว้าง 2.3 เมตร ฝังอยู่ใต้พื้นดิน ห่างจากสุสานฉินสื่อหวงไปทางทิศตะวันตกราว 20 เมตร และเมื่อนำขึ้นมาเปิดฝาโลงออกก็พบกับขบวนรถม้าสำริดจำลองของฉินสื่อหวง ฝีมือประณีตสวยงาม ใช้เทคนิคงานโลหะผสมสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นรถม้าประจำพระองค์ในภพหน้า ปัจจุบันรถม้าสำริดที่ถูกขุดค้นพบ จัดแสดงไว้ในอาคารอีกหลังหนึ่งในบริเวณพิพิธภัณฑ์ กองทัพทหหารดินเผาประกอบด้วยรถม้าส่วนพระองค์ รถเทียมม้าบุกนำทาง มีองค์รักษ์ทำหน้าที่พลขับ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่
(จัดทำโดย นางสาว ประภาพร บุญพันธ์ เลขที่42)
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่
(จัดทำโดย นางสาว ประภาพร บุญพันธ์ เลขที่42)
วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554
วิศวกรรมการอาหาร เป็นแขนงหนึ่งของวิศวกรรมเครื่องกล ซึ่งเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเครื่องจักรในกระบวนการผลิตอาหาร โดยใช้หลักการทางวิศวกรรมเครื่องกลมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับกระบวนการแปรรูปอาหาร และคุณสมบัติเฉพาะของอาหารประเภทนั้นๆ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่
(จัดทำโดย นาย อัฐสิทธิ์ เข็มเพชร เลขที่ 24)
ราชนาวี
กองทัพเรือไทย หรือ ราชนาวี เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อการปฏิบัติการทางทหารในทะเล ลำน้ำ และพื้นที่บริเวณชายฝั่งของประเทศไทย กองทัพเรือเป็น 1 ใน 3 เหล่าทัพของกองทัพไทย และมีจำนวนกำลังพลเป็นอันดับสองรองจากกองทัพบก กองทัพเรือปฏิบัติการด้วยเรือรบกว่า 340 ลำ อากาศยานกว่า 90 เครื่อง และกำลังรบทางบกอีก 2 กองพล นับเป็นกองทัพเรือที่มีความสำคัญในลำดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชีย กองทัพเรือมีผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่
(จัดทำโดย นาย รัฐพล กาญจนะสาร เลขที่ 10)
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่
(จัดทำโดย นาย รัฐพล กาญจนะสาร เลขที่ 10)
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)










